สถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรค COVID–19 ที่กำลังแพร่ระบาดในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์น่าเป็นห่วง โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสสูงขึ้นเรื่อย ๆ สร้างความวิตกกังวลให้กับทุกคนในประเทศ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ถึงแม้จะเคยได้ยินมาว่า เด็กเล็กไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยงหลัก และมีอันตรายน้อยกว่าผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ แต่คงไม่มีผู้ปกครองคนใดที่วางใจกับความเสี่ยงนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรเฝ้าระวังป้องกันโรคทั้งตนเองและสมาชิกภายในครอบครัวอย่างรัดกุมที่สุด
พญ.วราลี ผดุงพรรค กุมารแพทย์เฉพาะทางโรคภูมิแพ้ โรงพยาบาลนครธน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการติดโรค COVID–19 สำหรับเด็กว่าจากข้อมูลตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงปัจจุบัน พบว่าผู้ใหญ่มีโอกาสป่วยเป็นโรค COVID–19 ได้มากกว่าเด็ก อาจเนื่องจากผู้ใหญ่มีการดำเนินชีวิตด้วยการออกไปข้างนอกบ้าน ต้องพบปะผู้คนเป็นจำนวนมาก ในขณะที่เด็ก ๆ จะใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน จึงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่ำกว่าผู้ใหญ่ และยังพบว่าเด็กที่ป่วยเป็น COVID–19 มักมีผู้ใหญ่ภายในบ้านเป็นผู้รับเชื้อไวรัสมาแพร่สู่เด็กในครอบครัว ดังนั้นผู้ใหญ่จึงควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค COVID–19 ในเด็กเป็นอย่างดี ซึ่ง 5 ข้อนี้จะช่วยให้เด็กเล็กในครอบครัวปลอดภัยจากโรค COVID–19 ได้
- ความอันตรายของโรค COVID–19 ในเด็ก
เป็นความโชคดีที่ความรุนแรงของโรค COVID–19 ในเด็กน้อยกว่าผู้ใหญ่ โดยพบว่าในผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปีมีอัตราการเสียชีวิตไม่ถึง 1% ของผู้ป่วย และผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมักจะเป็นผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคปอด โรคมะเร็งเป็นต้น แต่ยังวางใจ 100% ไม่ได้ เพราะ กลุ่มเด็กที่ยังเล็กมาก ๆ เช่น ทารก ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีความเสี่ยงป่วยรุนแรง ซึ่งความอันตรายของโรคคืออาการที่ทำให้ปอดบวมรุนแรง ขาดออกซิเจนหายใจลำบาก จนต้องเข้า ICU และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือมีภาวะแทรกซ้อนต่อระบบอื่นของร่างกาย เช่น ช็อก ตับอักเสบ ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้
- อาการของการติดเชื้อ COVID–19ในเด็ก
โดยทั่วๆ ไป ไข้หวัดธรรมดา เชื้อไวรัสมักจะติดอยู่แค่ทางเดินหายส่วนบน ทำให้มีไข้ เจ็บคอ มีน้ำมูก ไอ จาม คัดจมูก แต่เชื้อไวรัสโคโรนาของโรค COVID-19 ค่อนข้างใกล้เคียงกับไวรัส RSV ในเด็กเล็ก คือ เชื้อไวรัสมักจะเดินทางลงไปที่ทางเดินหายใจส่วนล่างส่งผลทำให้หลอดลมอักเสบ ปอดบวม ดังนั้นเด็ก ๆ ก็จะมีไข้ตัวร้อนเจ็บคอ อาจจะมีหรือไม่มีน้ำมูก คัดจมูก แต่จะมีอาการไอแห้ง ๆ ไอเยอะ ไอรุนแรง ซึ่งแสดงถึงพยาธิภาพที่หลอดลมและปอด อาจเกิดปอดบวม และหายใจล้มเหลวได้เช่นกัน ซึ่งข้อมูลในปัจจุบันพบว่าส่วนใหญ่เด็กจะมีอาการเหมือนไข้หวัดธรรมดา อาจมีบางรายที่มีปอดบวมอักเสบ แต่มักไม่รุนแรงและสามารถรักษาหายได้โดยเร็ว แตกต่างกับผู้ใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอาการปอดบวมขั้นรุนแรง มักจะรักษาหายได้ช้า และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้มากกว่า
- การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนาในเด็ก
การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนาจะเหมือนไข้หวัด โดยเชื้อโรคจะอยู่ในน้ำมูกหรือสารคัดหลั่งต่าง ๆ (droplet) เช่น น้ำลาย เสมหะ เป็นต้น ซึ่งจะสามารถแพร่เชื้อได้เมื่อมีอาการไอ จาม หรือพูดคุยอยู่ในระยะที่ใกล้เคียงกัน แล้วมีน้ำลายกระเด็นใส่หรือเป็นละอองฝอยลอยอยู่ในอากาศ รวมถึงการใช้ภาชนะร่วมกัน รับประทานอาหารร่วมกันโดยไม่มีช้อนส่วนตัวซึ่งเป็นช้อนสำหรับตักอาหาร ซึ่งเชื้อไวรัสนั้นสามารถแพร่เข้าสู่ร่างกายของเด็ก ๆ ได้ 3 ช่องทาง คือ
1) ตา ซึ่งเด็ก ๆ อาจไปจับสิ่งของใดที่ติดเชื้อแล้วนำมาขยี้ตา
2) จมูก โดยพฤติกรรมเด็กส่วนใหญ่จะชอบแคะ จับ ขยี้จมูก
3) ปาก โดยเด็กเล็ก ๆ จะชอบนำมือเอาไปในปาก หรืออมของเล่นต่าง ๆ ที่วางไว้ในบ้าน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส หรือแม้แต่การใช้
ภาชนะ ร่วมกันกับผู้ใหญ่ก็มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดโรค COVID–19 ให้เด็กได้
ในบางสภาวะ เช่น การพ่นยาในรพ. การไอที่แรงมาก ๆ พบว่าเชื้อสามารถฟุ้งลอยอยู่ในอากาศ (airborne) ในระยะ 1-2 เมตรได้ ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
- รักษาได้อย่างไรบ้าง
การรักษาโรค COVID–19 เป็นการรักษาตามอาการ เช่น รับประทานยาลดไข้ เช็ดตัวเพื่อลดไข้ ระวังไม่ให้ไข้สูงและชัก หรือการกินยาแก้ไอละลายเสมหะ เป็นต้น ซึ่งพบว่าเด็กที่เป็นโรค COVID–19 จะมีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดาที่ไม่รุนแรง แต่ในกรณีของคนที่มีอาการรุนแรง จะใช้ออกซิเจนในการช่วยเหลือ และพ่นยาเมื่อจำเป็น นอกจากนี้หากเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ขวบ เด็กที่มีโรคประจำตัว หรือรายที่มีอาการปอดบวมอักเสบ และเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงที่จะมีความรุนแรงข้อใดข้อหนึ่ง แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาจำเพาะ ซึ่งจะใช้ยาต้านไวรัสร่วมกับยาฆ่าเชื้อ ตามแนวทางการปฏิบัติของสมาคมโรคติดเชื้อในเด็ก
- ดูแลเด็กอย่างไรให้ห่างไกลโรค COVID–19
สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องของสุขอนามัยของทุกคนในครอบครัว ซึ่งต้องเริ่มจากผู้ใหญ่ภายในบ้านก่อน โดยลดความเสี่ยงต่อการติดโรคด้วยการงดออกไปในสถานที่ชุมชน แต่หากจำเป็นต้องออกไป ควรใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง และมี Social Distancing กับผู้คน โดยเว้นระยะห่าง 1–2 เมตรเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมูก น้ำลายกระเด็นใส่ นอกจากนี้ยังควรงดการใช้ภาชนะร่วมกันภายในบ้าน และที่สำคัญผู้ใหญ่ควรสอนให้เด็กรู้จักดูแลตัวเอง โดยสอนให้เด็ก ๆ มีความเข้าใจว่า ทุกครั้งที่จะสัมผัส ตา จมูก ปาก จะต้องล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลก่อน
ปัจจุบันโรงพยาบาลนครธน มีมาตรการในการรองรับผู้ป่วย ทั้งผู้ป่วยทั่วไป ผู้ป่วยโรคเฉพาะทาง และผู้ป่วยโรค COVID–19 โดยมีจุดคัดกรองคนไข้ทุกคนที่จะเข้ามาในโรงพยาบาล ซึ่งต้องผ่านการวัดไข้ ล้างมือ การสอบถามประวัติความเสี่ยงที่อาจจะเป็นโรค COVID–19 เพื่อแยกไปในสู่จุดตรวจที่ได้คัดแยกเอาไว้ และเพื่อไม่ให้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มาใช้บริการปกติหรือผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงดี สำหรับเด็ก ๆ ที่ไม่สบาย ไม่ได้ติดเชื้อทางเดินหายใจ หรือเดินทางมาฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาล ก็จะมีจุดตรวจแยกที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ปกครองสบายใจและรู้สึกปลอดภัยในการเข้ารับบริการ