เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ปี 2447 ชาร์ลส์ โรลส์ และ เฮนรี รอยซ์ ได้พบกันครั้งแรกที่โรงแรม The Midland ในเมืองแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร ซึ่งการพบกันในครั้งนั้นนับเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของวงการยานยนต์ 115 ปีต่อมา บริษัทที่พวกเขาร่วมกันสร้างขึ้นในวันนั้น ยังคงยืนหยัดในการสร้างมาตรฐานนวัตกรรมและความเป็นเลิศในแวดวงยานยนต์นานาชาติ และรักษาไว้ซึ่งกิตติศัพท์ในฐานะผู้รังสรรค์ ‘ยนตรกรรมที่ดีที่สุดในโลก’
มร. โรลส์ และมร. รอยซ์ คงจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจหากได้มาเห็นยานยนต์ที่ถูกผลิตขึ้นภายใต้ชื่อของทั้งสองในปี 2562 นี้ ซึ่งเป็นระยะเวลากว่าศตวรรษ นับจากวันที่เครื่องยนต์ 10hp เครื่องแรกของพวกเขาได้ปรากฏตัวครั้งแรก ณ งานแสดงรถยนต์ในปารีส (Paris Salon หรือ Paris Motor Show) กาลเวลาที่ผ่านไปย่อมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันประจักษ์ได้ชัด ทั้งในแง่ของวัสดุ เทคโนโลยี และกระบวนการการผลิต แต่อย่างไรก็ตาม ในหลายองค์ประกอบสำคัญ โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส ยังคงดำรงไว้ซึ่งความงดงามของยุคบุกเบิกในอดีต ด้วยวิธีการ สัญชาตญาณ และค่านิยมของแบรนด์ จนอาจกล่าวได้ว่าบิดาทั้ง 2 แห่งโรลส์-รอยซ์ จะสามารถจดจำยนตรกรรมของบริษัทของตัวเองได้และรู้สึกพอใจกับมันอย่างแน่นอน
การหวนกลับสู่การผลิตแบบ Coachbuilding
ลายเส้นและสไตล์ของยานยนต์โรลส์-รอยซ์ในยุคแรก ได้รับอิทธิพลอย่างเห็นได้ชัดจากรถม้าที่ขณะนั้นกำลังถูกรถยนต์ค่อยๆ เข้ามาแทนที่ การได้รับอิทธิพลนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เนื่องจากรถยนต์เหล่านั้นถูกผลิตด้วยมือของกลุ่มช่างผู้เชี่ยวชาญในการสร้างรถม้า ซึ่งได้ถ่ายทอดความชำนาญและฝีไม้ลายมือทางหัตศิลป์ของพวกเขาจากขนบประเพณีดั้งเดิมดังเช่นการผลิตรถม้า สู่เทคโนโลยีใหม่อย่างรถยนต์ การต่อตัวถังด้วยมือ (Coachbuilding) ของโรลส์-รอยซ์ถูกยกเลิกไปตั้งแต่ช่วงยุค 60 แต่ในปี 2560 งานฝีมืออันประณีตบรรจงนี้ได้กลับมาทวงบัลลังก์อย่างสง่างามในรูปแบบของ ‘สเวพเทล (Sweptail)’ ยนตรกรรมแบบ Coachbuilt สั่งผลิตพิเศษเต็มรูปแบบที่รังสรรค์ขึ้นสำหรับลูกค้าผู้แสวงหารถยนต์ Grand Tourer ที่เปี่ยมไปด้วยความหรูหราและสมรรถภาพที่ทรงพลัง
‘สเวพเทล (Sweptail)’ นับเป็นยนตรกรรมที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ด้วยโครงสร้างและการตกแต่งภายในที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งรวมไปถึงตู้แช่แชมเปญที่ถูกออกแบบให้มีขนาดพอดีสำหรับบรรจุ Dom Pérignon ’73 จำนวน 1 ขวดโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม กระจังหน้าแบบ Pantheon grille และระยะยื่นด้านหลังจากล้อหลังถึงปลายสุดของรถ (rear overhang) ของ ‘สเวพเทล (Sweptail)’ ยังคงแสดงถึงความยึดมั่นต่อสไตล์การออกแบบและตัวตนของแบรนด์โรลส์-รอยซ์ได้อย่างไร้ที่ติ
สถาปัตยกรรมแห่งความหรูหรา (The Architecture of Luxury)
เฮนรี รอยซ์เริ่มต้นเส้นทางอาชีพในวงการยานยนต์ด้วยการพัฒนา French Decauville เครื่องยนต์ 10hp สองสูบ ซึ่งเป็นรถยนต์คันแรกที่เขาซื้อหลังจากกิจการบริษัทไฟฟ้าภายใต้ชื่อของเขาประสบความสำเร็จ เมื่อมร. โรลส์ ได้เห็นและทดลองขับรถยนต์ของมร. รอยซ์ เขารู้ในทันทีว่าได้ค้นพบรถยนต์สัญชาติอังกฤษที่มีความสุดยอด เหนือรถยนต์คู่แข่งร่วมทวีปทั้งหมด และได้ตกลงที่จะจำหน่ายยานยนต์ทุกคันที่รอยซ์จะสร้างขึ้น ในระยะเวลา 2 ปีแรก โรลส์-รอยซ์ผลิตรถยนต์เพียงแค่ 10 คัน ระยะเวลาผ่านมากระทั่งในปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทได้จัดส่งรถยนต์ 4,107 คันไปยังลูกค้าในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก นับเป็นยอดตัวเลขยอดขายต่อปีที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการสินค้าจากลูกค้าทั่วโลก บริษัทได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อใช้หนุนรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งหมด เป็นที่รู้จักภายใต้ชื่อ ‘สถาปัตยกรรมแห่งความหรูหรา’ (The Architecture of Luxury) อันประกอบไปด้วยโครงสร้างอะลูมิเนียมที่สามารถปรับให้เข้ากับการใช้งานที่หลากหลายได้โดยใช้แผ่นโครงพื้นรถยนต์ (floor pans) และคานเหล็กขวาง (cross members) ที่ขนาดแตกต่างกัน กระบวนการผลิตแบบใหม่ทำให้มั่นใจได้ในความแข็งแกร่งและสมบูรณ์ของตัวรถ ในขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งประสบการณ์การขับขี่ดังพรมวิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ของโรลส์-รอยซ์
แบล็ค แบดจ์ (Black Badge)
แบล็ค แบดจ์ คือการตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้ากลุ่มเล็กๆ ผู้ใฝ่ฝันถึงรถยนต์อันมีเอกลักษณ์พิเศษ ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์อันแตกต่างต่อชีวิต ความสำเร็จ และความหรูหราของพวกเขา บุคคลเหล่านี้เลือกที่จะนิยามตัวตนของพวกเขาให้ไม่เหมือนใคร นับเป็นกลุ่มบุคคลผู้มีความเป็นปัจเจกอย่างแท้จริง
กว่าศตวรรษที่กลุ่มบุคคลผู้มีจิตวิญญาณอันร้อนแรงเหล่านี้ ตกหลุมรักเสน่ห์อันเย้ายวนของโรลส์-รอยซ์ ผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย เช่น เซอร์ มัลคอล์ม แคมป์เบล (Sir Malcolm Campbell), โฮเวิร์ด ฮิวจ์ส (Howard Hughes) และมูฮัมหมัด อาลี (Muhammad Ali) ล้วนแล้วแต่ยึดมั่นในปรัชญาเฉกเช่นเดียวกับปรัชญาริเริ่มของแบรนด์ นั่นคือการปฏิเสธที่จะยอมรับในสภาพที่เป็นอยู่ และมีความทะเยอทะยานที่จะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ริเริ่ม และพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง
จิตวิญญาณอันเข้มแข็งนี้ ยังพบได้ในผู้ร่วมก่อตั้งโรลส์-รอยซ์ หนึ่งในนักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเขา ซี. เอส. โรลส์ เป็นชายผู้ไม่เคยหยุดนิ่ง การเปลี่ยนแปลงอันแสนธรรมดาของวงการรถยนต์ไม่อาจทำให้เขาพอใจได้ เขาจึงแสวงหาสิ่งที่เหนือกว่า โดยมุ่งจิตวิญญาณแห่งความก้าวหน้าและการผจญภัยไปยังเทคโนโลยีบนฟากฟ้า ซึ่งเป็นความหลงใหลที่นำเขาไปสู่การถึงแก่อนิจกรรมก่อนวัยอันควรด้วยวัยเพียง 33 ปี
และด้วยจิตวิญญาณอันกล้าแกร่งนี้ ทำให้นับตั้งแต่เปิดตัว รถยนต์แบล็ค แบดจ์ก็ได้กลายเป็นที่ต้องการของเจ้าของรถอายุน้อยจำนวนมาก พวกเขาถูกดึงดูดด้วยเสน่ห์ของโรลส์-รอยซ์ และตระหนักว่าไม่มีแบรนด์ลักซ์ชัวรีอื่นใดที่จะมีวิสัยทัศน์และความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของพวกเขาทั้งในแง่ของการออกแบบและวิศวกรรมได้ แบล็ค แบดจ์ถูกออกแบบมาเพื่อป่าวประกาศอัตลักษณ์ที่แตกต่างอย่างแท้จริง ซึ่งเชื้อเชิญให้กลุ่มลูกค้าใหม่อายุน้อยจำนวนมากหันมาสนใจในยนตรกรรมของโรลส์-รอยซ์
ในการรังสรรค์เรธ โกสต์ หรือดอว์น แบลค แบดจ์นั้น นักออกแบบและวิศวกรรถยนต์สั่งผลิตพิเศษ (Bespoke) ของโรลส์-รอยซ์ ได้นำแรงบันดาลใจจากไลฟ์สไตล์อันแตกต่างของกลุ่มลูกค้าบุรุษและสตรีที่พิเศษเหล่านี้ ถ่ายทอดมาเป็นการออกแบบและวิศวกรรมที่ลงตัว สะท้อนถึงคุณค่าของยานยนต์โรลส์-รอยซ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แบล็ค แบดจ์ นับเป็นตัวตนที่สองของรุ่นมาตรฐานที่คมเข้มมากขึ้น ล้ำสมัยมากขึ้นด้วยพลังและแรงบิดที่สูงขึ้น พร้อมทั้งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้นเพื่อแนะนำโรลส์-รอยซ์ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าใหม่
รายละเอียดในการออกแบบได้รวมไปถึงสัญลักษณ์สปิริต ออฟ เอ็กสตาซีชุบโครเมียมรมดำ ล้อแม็กซ์รมดำ และส่วนประกอบภายในตัวรถที่ทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์ นอกจากนั้น ยังมีตราสัญลักษณ์ ‘RR’ สีเงินบนพื้นดำ และเช่นเดียวกันกับยนตรกรรมทุกคันของโรลส์-รอยซ์ ลูกค้าสามารถเพิ่มเติมองค์ประกอบสั่งผลิตพิเศษอื่นๆ ได้ตามต้องการ ดังนั้น แม้จะเป็นยานยนต์ “แบล็ค แบดจ์” ลูกค้าก็อาจเลือกที่จะรังสรรค์ออกมาเป็นสีใดก็ได้
ขับสบาย…ไปทุกที่ (Effortless, everywhere)
ในเดือนกรกฎาคม ปี 2460 มร. ฮิวจ์ ลอยด์-โธมัส (Hugh Lloyd-Thomas) ทูตชาวอังกฤษ กำลังรับประทานอาหารเย็น ณ คลับแห่งหนึ่งในเมืองไคโร กับไอลีน (Aileen) ภรรยาของเขา ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวปลิวไสวได้ก้าวเข้ามาในร้านและเปล่งเสียงถามว่า “รถยนต์โรลส์-รอยซ์ด้านนอกเป็นของใคร” เมื่อไอลีนตอบว่ารถยนต์เป็นของเธอ ชายผู้นั้นประกาศว่าเขาจะเกณฑ์รถยนต์คันนั้นไปใช้ “ในนามกองกำลังของกษัตริย์” และขับรถออกไป เขาผู้นั้นคือ ที. อี. ลอว์เรนซ์ หรือเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางกว่าในชื่อของลอว์เรนซ์ แห่ง อาราเบีย ทั้งเขาและรถยนต์คันนั้นได้ถูกจับภาพเอาไว้ในภายหลัง และรูปนั้นกลายเป็นหนึ่งในรูปสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุด
หนึ่งศตวรรษหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น โรลส์-รอยซ์ได้สร้างยานยนต์ที่สามารถพิชิตสภาพแวดล้อมอันยากลำบากที่สุดในโลกขึ้นอีกครั้ง ยนตรกรรมคัลลิแนน ซูเปอร์ลักซ์ชัวรี เอสยูวี ได้สร้างกระแสความสนใจไปทั่วโลกเมื่อครั้งที่ถูกเปิดตัวในปี 2561 นอกจากนั้นยังสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่แวดวงยานยนต์ลักซ์ชัวรีออฟโร้ดระดับโลก คัลลิแนนถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผู้ขับขี่ได้เดินทางไปในทุกที่ ได้เห็นทุกสิ่งที่อยากเห็น และได้ทำทุกสิ่งที่อยากทำด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม พร้อมความสะดวกสบายและความหรูหราที่มาพร้อมกับแบรนด์ของโรลส์-รอยซ์ ในการพิสูจน์ชื่อเสียงของความเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ คัลลิแนนได้ถูกทดสอบด้วยการผจญภัยกว่า 12,000 ไมล์ผ่านภูมิประเทศที่ท้าทายที่สุดของโลก ด้วยความร่วมมือกับ National Geographic ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ราบสูงใน สก็อตแลนด์ เทือกเขาแอลป์ในออสเตรีย หรือพื้นที่ทางตะวันตกของอเมริกา สถานที่ที่คัลลิแนนไปเยือนยังครอบคลุมไปถึงพื้นที่แห้งแล้งในตะวันออกกลาง ที่ทำให้ยนตรกรรมคันนี้สามารถตอกย้ำคำกล่าวของลอว์เรนซ์ที่ว่า ‘รถยนต์โรลส์-รอยซ์ในทะเลทรายมีค่ายิ่งกว่าทับทิม‘
มร. ทอร์สตัน มูเลอร์-ออทเวิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส กล่าวว่า “เราตระหนักถึงคุณค่าของมรดกที่สืบทอดต่อกันมาอย่างลึกซึ้ง การได้สรรสร้างและสานต่อผลงานที่มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ 115 ปีที่แล้วนับเป็นเกียรติอันใหญ่หลวง ในขณะเดียวกัน เราก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่าผู้ก่อตั้งทั้งสองของโรลส์-รอยซ์เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ พวกเขาคอยหาวิธีที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่แตกต่างอยู่เสมอ จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมและการถวิลหาความเป็นเลิศนี้ คือสิ่งที่โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส ยังคงรักษาไว้และให้คุณค่ามาจวบจนถึงปัจจุบันนี้”