ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากั
กรุงเทพฯ ประเทศไทย – จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (ประเทศไทย)จำกัด เปิดตัวโครงการ “ครอบครัวปลอดภัย รู้ทัน ป้องกันไข้เลือดออก” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงผลกระทบของโรคไข้เลือดออก โรคระบาดที่มากับยุงซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตในประเทศไทยถึง 31 ราย ในปี 2560[1]
องค์การอนามัยโลก[2] (World Health Organization – WHO) เผยว่าโรคไข้เลือดออกยังคงระบาดมากขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเขตร้อนชื้นอย่างประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออกที่ได้รับการรายงานต่ำกว่าความเป็นจริง รวมถึงอาจมีการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อน
รายงานการระบาดไข้เลือดออก สำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข[3] ประจำปี พ.ศ. 2560 รายงานว่า มีผู้ป่วยไข้เลือดออกแล้วจำนวน 22,356 รายทั่วประเทศ โดยพบการระบาดของไข้เลือดออกมากที่สุดในภาคใต้ รวมถึง จังหวัดสงขลา พัทลุง ปัตตานี นราธิวาส และนครศรีธรรมราช
โดยโครงการ “ครอบครัวปลอดภัย รู้ทัน ป้องกันไข้เลือดออก” มุ่งเน้นที่จะปรับปรุงมาตรการป้องกัน เพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ทั้งในบ้าน สถานที่ทำงาน รวมทั้งในชุมชน
มร. นีราจ โกยาล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “การป้องกันโรคไข้เลือดออกเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักและเร่งด่วนของ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แล้ว และทางจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน เชื่อว่าการให้ความรู้กับประชาชนเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ และเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยปกป้องครอบครัวจากภัยไข้เลือดออก”
“จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน มีความรู้และความเข้าใจถึงสถานการณ์ภัยไข้เลือดออกในประเทศไทย และแม้ว่าโรคนี้ โดยทั่วไปแล้วไม่ทำให้ผู้ป่วยถึงกับเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ทางจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน อยากกระตุ้นให้คนไทย เฝ้าระมัดระวังสภาพแวดล้อม และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นของโรคไข้เลือดออก” มร. นีราจ กล่าวเพิ่มเติม
เพื่อสร้างความตระหนักถึงโรคไข้เลือดออกและความเข้าใจที่ถูกต้องสู่สังคม จอห์นสันแอนด์จอห์นสันจึงได้เชิญ คุณณัฐวุฒิ และคุณพรทิพย์ สกิดใจ ครอบครัวนักแสดงชื่อดัง มาถ่ายทอดความรู้ เกี่ยวกับอาการของโรคไข้เลือดออก การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และวิธีการป้องกันโรคไข้เลือดออกง่ายๆ สำหรับครอบครัวไทย
คุณณัฐวุฒิ สกิดใจ กล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนของครอบครัวสกิดใจ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่มอบความรู้และเป็นประโยชน์แก่ครอบครัวไทย ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในประเทศแถบร้อนชื้นอย่างประเทศไทย เนื่องจากโรคไข้เลือดออกนั้นเกิดขึ้นในทุกปี และส่งผลต่อทุกครอบครัว ดังนั้น เราจึงต้องมีความรู้และเข้าใจอาการของโรคไข้เลือดออกที่ถูกต้อง และพร้อมรับมือในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่มีเด็กเล็กที่มีภูมิคุ้มกันน้อยกว่า และมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการรุนแรงได้มากกว่า หรืออาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้”
“ทุกคนในครอบครัวสามารถมีส่วนร่วมในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยภายในบ้าน ด้วยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และสามารถแบ่งหน้าที่ได้ ดังนี้ คุณพ่อสามารถดูแลความสะอาดของถังขยะ คอยนำขยะไปทิ้ง และเก็บบริเวณบ้านให้สะอาด คุณแม่สามารถช่วยทำความสะอาดบ้าน และลูกๆ สามารถช่วยได้ โดยการปิดฝาภาชนะน้ำที่มีภายในบ้าน ด้วยขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ สามารถปกป้องและดูแลสภาพแวดล้อมของคนที่เรารักได้” คุณณัฐวุฒิ กล่าวเพิ่มเติม
ข้อมูลและวิธีการรักษาโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกนั้นถือเป็นโรคติดเชื้อที่มากับยุง โดยมีอาการคล้ายคลึงกับไข้หวัดในช่วงแรก วัฏจักรของไวรัสไข้เลือดออกนั้นมียุงลายเป็นพาหะและมนุษย์เป็นเหยื่อ โดยยุงลายตัวเมียที่ติดเชื้อเป็นตัวแพร่เชื้อไวรัสไข้เลือดออกสู่มนุษย์ผ่านการกัด โรคไข้เลือดออกได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และแพร่หลายโดยเฉพาะประเทศแถบเขตร้อนชื้น โดยการแพร่กระจายสูงสุดเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน
อาการของโรคไข้เลือดออกในผู้ที่ติดเชื้อจะเกิดขึ้นภายใน 4-7 วัน หลังจากที่ถูกยุงกัด โดยอาการเบื้องต้นนั้นมักถูกเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นโรคไข้หวัด หรือการติดเชื้ออื่นๆ โดยอาการของโรคไข้เลือดออกสามารถสังเกตได้ ดังต่อไปนี้
- มีไข้สูงเฉียบพลัน (สูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส)
- ปวดหัวอย่างรุนแรง
- มีอาการปวดตามข้อและกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง
- มีผื่นคัน
- มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน ตั้งแต่เล็กน้อยถึงระดับรุนแรง
- มีเลือดออกในจมูก หรือ เหงือก
- มีอาการฟกช้ำ
- มีอาการชัก
นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “คนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าโรคไข้เลือดออกกับไข้หวัดนั้นเป็นโรคเดียวกัน เนื่องจากความคล้ายคลึงของอาการเบื้องต้น และมักจะใช้ยาแก้ปวด ลดไข้ตามร้านขายยาทั่วไป อย่างไรก็ตามการใช้ยาที่ผิดอาจทำให้อาการของโรคร้ายแรงขึ้นได้ โดยเฉพาะการใช้แอสไพรินและไอโปรบรูเฟน รักษาโรคไข้เลือดออก ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันจึงแนะนำให้ผู้ป่วยรักษาอาการเบื้องต้นโดยใช้ยาพาราเซตามอล ทั้งนี้ควรคำนึงถึงปริมาณยาให้เหมาะสมกับอายุและน้ำหนัก และหากรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด อาจส่งผลต่อการทำงานของตับและเกิดภาวะตับเป็นพิษได้”
ปัจจุบัน ยังไม่มียาใดที่สามารถรักษาโรคไข้เลือดออกได้เฉพาะ โดยกรมควบคุมโรคได้แนะนำให้รักษาโรค ด้วยยาบรรเทาอาการปวด และลดไข้โดยใช้ยาพาราเซตามอลที่วางขายตามร้านขายยาทั่วไป และผู้ป่วยควรเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินและไอโปรบรูเฟน เนื่องจากตัวยาทั้งสองอย่างนี้จะทำให้เกิดอันตราย และสามารถก่อให้เกิดภาวะเลือดออกมากขึ้น และเกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร เนื่องจากผู้ป่วยไข้เลือดออกจะอยู่ในภาวะเกล็ดเลือดและการแข็งตัวของเลือดบกพร่อง และยาแอสไพรินและไอโปรบรูเฟนสามารถทำให้ผู้ป่วยเลือดออกผิดปกติ และทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะช็อคได้ ซึ่งนับว่าเป็นระยะวิกฤตและต้องนำผู้ป่วยเข้ารับการรักษากับแพทย์อย่างเร่งด่วน ดังนั้นการใช้ยาราพาเซตามอลในการดูแลรักษาผู้ป่วยไข้เลือดออกจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกนั้นควรพักผ่อน และดื่มน้ำเพื่อบรรเทาอาการ หากอาการป่วยทรุดลงหลังจาก 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยควรเข้าพบแพทย์โดยทันที