นางสาวเปรมินทร์ เลอนรเสฏฐ์ ผู้จัดการทั่วไป โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ กลุ่มบริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด ภายใต้การบริหารงานของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (TCC GROUP) เปิดเผยว่า ปัจจุบันโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ยังคงร่วมมือกับหลากหลายกลุ่มธุรกิจ เพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์กิจกรรมที่น่าสนใจและตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในโครงการฯ ล่าสุดได้เปิดตัว นาฏยศาลา หุ่นละครเล็ก (โจหลุยส์) หลังจากห่างหายไปนานกว่า 8 ปี โดยกลับมาพร้อมกับไฮไลท์การแสดงชุดใหม่ ตลอดจนรูปแบบการแสดงที่แปลกใหม่ หลากหลาย และพิเศษยิ่งกว่าเดิม ภายใต้แนวคิดการแสดงที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมที่สวยงามเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และการเล่าเรื่องราวให้สอดคล้องกับปัจจุบัน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงการเปิดตัว Ownory ร้านจิวเวลรี่ดีไซน์เก๋ ผสมผสานแฟนชั่นสมัยใหม่และความเป็นไทยได้อย่างลงตัว จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวอย่างมากในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังร่วมกับแบรนด์ชั้นนำ อาทิ BSC Cosmetology เปิดร้าน Beauty Station ศูนย์รวมสินค้าความงามแบรนด์ชั้นนำมากมาย ร้านลาวญวน (Lao Yuan) ร้านอาหารอีสานชื่อดังในเครือ Zen Corporation Group ร้านน้ำหอมอียิปต์ Japara Perfume กับจุดเด่นความหอมที่ยาวนานพร้อมดีไซน์แพจเกจจิ้งสวยไม่ซ้ำใคร และร้าน Shoe Bar ในเครือ Jaspal แบรนด์รองเท้าแฟชั่นนำสมัย ที่มีแผนมาเปิดตัวในโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความหลากหลายของสินค้า ตลอดจนพัฒนาคุณภาพและทัศนียภาพของร้านค้าที่มีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ยังได้วางแผนจัดพื้นที่สำหรับรองรับการจัดกิจกรรมอีเว้นท์โปรโมชั่นต่างๆ โดยการเปิดตัวร้านค้าที่มีความหลากหลายและกิจกรรมที่น่าใจ จะสามารถดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวเข้ามาโครงการฯ ได้อย่างแน่นอน และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปีที่ 2560

“สำหรับภาพรวมตลาดท่องเที่ยวในประเทศไทยยังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปี 2561 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเพิ่มขึ้นกว่า 11% (ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) และคาดว่าจะเติบโตมากกว่าเท่าตัวในครึ่งปีหลัง เนื่องจากปัจจัยช่วงหยุดเทศกาลในหลายๆ ประเทศ อาทิ Golden Week ของประเทศจีนในเดือนตุลาคม รวมไปถึงช่วงวันหยุดคริสต์มาส และปีใหม่ สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวทีเข้ามาในโครงการฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคมที่ผ่านมามีจำนวนนักท่องเที่ยวถึง 10.9 ล้านคน หรือเฉลี่ย 45,000 คน/วัน และคาดว่าเดือนกันยายนถึงธันวาคมจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกกว่า 10% โดยแบ่งเป็นชาวต่างชาติ 70% และชาวไทย 30% ซึ่งจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าพักตามลำพัง (Free Individual Traveler : F.I.T) 65% และกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากับทัวร์ 35% ทั้งนี้กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในโครงการฯ มากที่สุด 3 อันดับแรกยังเป็นกลุ่มประเทศในโซนเอเชีย ได้แก่ จีน (จีน/ไต้หวัน/ฮ่องกง), เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ตามลำดับ” นางสาวเปรมินทร์ เลอนรเสฏฐ์ กล่าว

ทั้งนี้ โครงการฯ ได้วางแผนขยายตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวไปยังทุกกลุ่มประเทศทุกภูมิภาค โดยการร่วมกิจกรรมโรดโชว์และเทรดโชว์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งดำเนินการร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กรุงเทพมหานคร สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) และบริษัททัวร์ชั้นนำของไทยกว่า 250 บริษัท อาทิ จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย กลุ่มประเทศยุโรป และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการสร้างการรับรู้ต่อกลุ่มพื้นที่เป้าหมาย และเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจท่องเที่ยวของไทยให้มีความยั่งยืน โดยปีนี้ยังได้วางแผนขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศยุโรป สอดคล้องกับการเติบโตตลาดท่องเที่ยวยุโรปที่มีการเติบโตสูงถึง 6.37% ในครึ่งปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มประเทศที่น่าสนใจและถือเป็นตลาดใหญ่และมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นประเทศในแถบตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่โครงการฯ ให้ความสนใจในการทำตลาดเช่นเดียวกัน โดยได้มีการเข้าร่วมแคมเปญ Thailand MICE Venue Standard 2018 กับสำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB เพื่อรองรับการขยายธุรกิจที่ต้องการสถานที่จัดงาน อาทิ การจัดงานเพื่อความบันเทิง การจัดการประชุม และนิทรรศการ ซึ่งกำลังได้รับความสนใจอย่างมาก โดยคาดการณ์การเติบโตมากถึง 30 ล้านคน ทั้งนี้โครงการฯยังได้รับรางวัล Recreative Attraction Standard Very Good Level 2017-2019 จากการโหวตของกลุ่มพันธมิตรด้านธุรกิจท่องเที่ยว ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นการแสดงถึงความเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก และถือเป็นส่วนหนึ่งในการดึงดูดให้เอเจนซี่ท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติให้ความสนใจในตัวโครงการยิ่งขึ้นด้วย

“โครงการฯ พัฒนาสร้างเรือใบสามเสาอิงประวัติศาสตร์สำคัญในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีชื่อเรือใบสามเสานี้ว่า สิริมหรรณพ โดยนำมาจอดเทียบ ณ ท่าเรือเอเชียทีค ซึ่งได้วางแผนพัฒนาให้เป็นพื้นที่จัดงานต่างๆ ระดับประเทศ เป็นการสร้างประสบการณ์ความประทับใจใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จากเอกลักษณ์ที่โดดเด่น คาดว่าจะได้รับความสนใจจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนในการเข้ามาใช้พื้นที่ในการจัดกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะเป็นไฮไลท์และซิกเนเจอร์แห่งใหม่ของโครงการฯ ตลอดจนการพัฒนาในส่วนของผู้ประกอบการที่เน้น International Brand ให้ตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยว F.I.T. มากขึ้น พร้อมปรับภาพลักษณ์ให้มีความน่าสนใจ รวมถึงเพิ่มสีสันของการท่องเที่ยวที่หลากหลากด้วยการจัดอีเว้นท์ต่างๆ อาทิ เทศกาลดนตรีต่างๆ งานลอยกระทง งานเค้าท์ดาวน์ เพื่อให้สามารถแข่งขันในธุรกิจท่องเที่ยวริมน้ำที่เพิ่มมากขึ้น โดยกลยุทธ์ในทุกๆ ส่วนจะส่งเสริมให้เอเชียทีคยังคงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวอยู่อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน” นางสาวเปรมินทร์ เลอนรเสฏฐ์ กล่าวสรุป

นายตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ กรรมการผู้อำนวยการ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ เผยว่า “ตอนนี้ทุกอย่างเกือบสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วครับ เราได้ติดตั้งอัฒจันทร์ชั่วคราว (ไซด์สแตนด์) เพิ่มเข้าไปแล้วทุกจุด รวมถึงโซนวีไอพีต่างๆ และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสนาม ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเพียงพอต่อความต้องการของแฟนๆ เรือนแสนคนที่จะเข้าชมการแข่งขัน พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์”

“นับจากวันนี้จะเหลือเวลา 3 สัปดาห์ เราทุกคนทำงานอย่างเต็มที่เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของประเทศไทย ซึ่งโมโตจีพีครั้งแรกบัตรเข้าชมได้ถูกจำหน่ายหมดลงอย่างรวดเร็ว ที่พักในเมืองบุรีรัมย์ก็เต็มอย่างรวดเร็ว รวมถึงพื้นที่อำเภอและจังหวัดรอบๆ ด้วย ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้เป็นอย่างดี” นายตนัยศิริ กล่าว

นอกจากนี้ เรื่องมาตรฐานของสนามแข่งขันซึ่งจะต้องผ่านการตรวจสอบของ สมาพันธ์จักรยานยนต์นานาชาติ หรือ เอฟไอเอ็ม นั้น นายตนัยศิริ กล่าวว่า “เรื่องมาตรฐานของสนามเราได้ปรึกษากับ เอฟไอเอ็ม และ ดอร์น่า สปอร์ต ตลอดเวลา เบื้องต้นที่ได้มีการแก้ไขไปนั้นคือ การลดพื้นที่ รัน ออฟ แอเรีย และเพิ่มพื้นที่บ่อกรวด เพื่อความปลอดภัยหลักๆ 3-4 โค้ง และการเปลี่ยนทางเข้าพิตตามที่นักบิดโมโตจีพีร้องขอเมื่อมาทดสอบ วินเทอร์เทสต์ ก็เสร็จเรียบร้อย จากนี้จะมีงานทาสีบนแทร็กตามเส้นแบ่งต่างๆ ซึ่งสีจะต้องได้ตามสเป็คของ เอฟไอเอ็ม เราสั่งเข้ามาแล้วและอยู่ระหว่างดำเนินการทาสีใหม่ ส่วนเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่มีอะไรน่าห่วง”

“ขณะเดียวกันเรายังมีการซ้อมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ในสนามทั้ง มาร์แชล, แพทย์สนาม และระบบการช่วยเหลือนักบิดหากเกิดอุบัติเหตุระหว่างการแข่งขันด้วย ซึ่งถือว่ามีขั้นตอนที่สำคัญมาก และเราพร้อมแล้วสำหรับการสร้างประวัติศาสตร์ครั้งแรกของประเทศไทย”

สำหรับ ศึก โมโตจีพี 2018 สนาม 15 รายการ พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5-7 ตุลาคมนี้ จะเป็นสนามแรกในภูมิภาคเอเชียต่อจากยุโรป ซึ่งถือว่ามีความเข้มข้นในการลุ้นแชมป์โลกอย่างมาก